การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์
อาณาจักร:Animalia
ไฟลัม:Chordata ชั้น:Aves
อันดับใหญ่:Paleognathae
อันดับ:Struthioniformes
วงศ์:†Dinornithidae
(Bonaparte, 1853)
สกุล
†Anomalopteryx นกโมอาเล็ก หรือนกโมอาพุ่มไม้
†Euryapteryx นกโมอาขาอ้วน หรือนกโมอาชายฝั่ง
†Megalapteryx นกโมอาที่ราบสูง
†Dinornis นกโมอายักษ์
†Emeus นกโมอาตะวันออก
†Pachyornis นกโมอาหงอน หรือนกโมอาตีนหนัก หรือนกโมอาเมพพิน
สูญพันธุ์ (IUCN 3.1)
นกโมอา (อังกฤษ: moa) ชื่อพ้อง Dinornithes
เป็นนกขนาดใหญ่ในวงศ์ Dinornithidae เคยอาศัยอยู่ในประเทศนิวซีแลนด์ซึ่งปัจจุบันได้สูญพันธ์ไปหมดแล้ว มีความเกี่ยวข้องกับนกอีมูจากออสเตรเลีย ในช่วงศตวรรษที่ 1800 ถึงต้นศตวรรษที่ 1900 มีหลายสายพันธุ์ของนกโมอาอยู่ในประเทศนิวซีแลนด์ ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์สรุปอย่างเป็นทางการได้ว่ามีอยู่ประมาณ 10 ชนิด
จากการศึกษาดีเอ็นเอ ของนกโมอา ได้มีการค้นพบว่านกโมอาตัวเมียกับตัวผู้มีความแตกต่างกันมาก ไม่ว่าจะเป็นทางขนาดลำตัวรึขนาดของกระดูก ตัวเมียมีขนาดที่ใหญ่กว่าและสูงกว่าตัวผู้อยู่ประมาณร้อยละ 150 และมีน้ำหนักกว่าร้อย 280 เหตุผลนี้ทำให้ตอนแรกมีการเข้าใจผิดคิดว่าโครงกระดูกที่ถูกค้นพบนี้เป็นของนก 2 ชนิด โครงกระดูกที่ถูกค้นพบได้ถูกนำมาประกอบกันแล้วจัดแสดงอยู่ตามพิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ ทั่วประเทศนิวซีแลนด์
นกโมอาเป็นนกที่มีขนาดใหญ่กว่านกปกติทั่วไป บินไม่ได้และมีรูปร่างคล้ายกับนกกระจอกเทศในปัจจุบันแต่ตัวใหญ่กว่า มีส่วนหัวที่ยาวกว่าเอาไว้กินพืชเตี้ย ๆ และตามต้นไม้สูง ๆ ขนาดและรูปร่างนกโมอานั้นเปลี่ยนไปตามสถานที่ต่างๆ เนื่องจากนกโมอาได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงทางด้านกายภาพมาโดยตลอดซึ่งขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อม
การเปล่งเสียงถึงแม้ว่าจะไม่มีการอัดเสียงของนกโมอาไว้ แต่จากการศึกษาดูกระดูกส่วนหัวและลำคอของนกโมอา ได้ทำให้พอจะรู้ว่าเสียงของนกโมอาเป็นยังไง กล่องเสียงของนกโมอานั้นมีวงแหวนอยู่หลายวง ซึ่งมีชื่อว่า Tracheal rings วงแหวนหนึ่งอันนั้น พอคลี่ออกมาแล้วจะมีความยาวถึงประมาณ 1 เมตร เพราะวงแหวนตัวนี้ทำให้เสียงของนกโมอานั้นมีความใกล้เคียงกับหงส์, นกกระเรียน และ ไก่ขนดำจุดขาวในวงศ์ Numididae และนกกระทานิวกินี เสียงนกโมอาสามารถไปได้ไกลมาก
อาหาร ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครเคยเห็นนกโมอาอย่างแท้จริง แต่โดยการวิเคราะห์จากซากฟอสซิลของนกโมอา ได้ทำให้รู้ว่ามันกินพืชส่วนใหญ่และกิ่งไม้เล็กๆจากต้นไม้ที่ไม่สูงมาก ตรงปากของนกโมอานั้นแข็งแรงมากและถูกใช้เป็นอาวุธป้องกันตัวจากสัตว์อื่นได้
การขยายและสืบพันธุ์[แก้]
จากการศึกษากระดูกของนกโมอา ทำให้รู้ได้ว่านกโมอามีการเจริญเติบโตที่ยาวนานมาก มันใช้เวลาประมาณ 10 ปีเพื่อที่จะพัฒนาจากเป็นเด็กสู่ตัวผู้ใหญ่เต็มตัว
ไข่ชิ้นส่วนของไข่ ของนกโมอาถูกค้นพบอยู่เป็นประจำในแหล่งต่างๆที่ฟอสซิลถูกค้นพบและตามบริเวณทรายรอบๆชายฝั่งนิวซีแลนด์ในปัจจุบันมีไข่ที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ จัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ รอบ ๆ นิวซีแลนด์เป็นจำนวน 36 ใบ แต่ละอันมีขนาดที่แตกต่างกันไปตั้งแต่ 120 – 124 มิลลิเมตร ไปจนถึง 91 – 178 มิลลิเมตร เปลือกนอกของไข่จะมีเอกลักษณ์อยู่ที่มีรูเล็ก ๆ ไข่ส่วนใหญ่จะมีสีขาว แต่ยกเว้นชนิด Megalapteryx didinus จะมีไข่เป็นสีน้ำเงินรึเขียว
รังไม่มีหลักฐานที่บ่งบอกว่าโมอาเป็นนกที่อาศัยอยู่กันเป็นฝูง ส่วนใหญ่จะถูกพบเป็นย่อม ๆ ตามถ้ำต่าง ๆ การสำรวจถ้ำต่าง ๆ ในเกาะเหนือ รังของนกโมอานั้นส่วนใหญ่จะถูกกดลงไปในดิน ส่วนที่แห้งและนิ่มในเขตพื้นที่ตอนกลางโอตาโก ของเกาะใต้ อากาศค่อนข้างแห้งจึงทำให้ใบไม้และวัสดุต่าง ๆ ที่นกโมอาใช้ในการทำรัง ยังคงอยู่ในสภาพใกล้เคียงเดิม เมล็ดของต้นไม้ต่าง ๆ ที่ถูกพบตามแหล่งเหล่านี้เป็นหลักฐานได้ว่าส่วนใหญ่นกโมอาจะทำรังในช่วงฤดูร้อน
การสูญพันธุ์
ภาพจำลองการล่านกโมอาของชาวมาวรี
ศัตรูหลักของนกโมอาคือนกอินทรีฮาสท์จนกระทั่งมนุษย์ได้เข้ามาบนเกาะนิวซีแลนด์ ชาวมาวรีได้เริ่มเข้ามาในช่วง ค.ศ. 1300 และได้เริ่มการล่านกโมอาจนเริ่มสูญพันธุ์ ประมาณ ค.ศ. 1400 นกโมอาได้สูญพันธุ์ไปหมดแล้วรวมไปถึงนกอินทรีฮาสท์ซึ่งสูญพันธุ์ไปด้วยเนื่องจากไม่มีนกโมอาให้กิน
การสูญพันธุ์ของนกโมอานั้นเกิดขึ้นภายในไม่ถึง 100 ปี ซึ่งผิดไปจากการสันนิษฐานของนักวิทยาศาสตร์ในช่วงแรกที่บอกว่านกโมอาใช้เวลาหลายร้อยปีในการค่อย ๆ สูญพันธุ์ อย่างไรก็ตาม ในช่วงทศวรรษ 1800 มีการอ้างว่าพบเห็นนกโมอาในหลาย ๆ แถบของประเทศนิวซีแลนด์ แต่ไม่มีหลักฐานอะไรที่ชัดเจนที่บ่งบอกว่านกโมอายังมีชีวิตอยู่จริง
อาณาจักร:Animalia
ไฟลัม:Chordata ชั้น:Aves
อันดับใหญ่:Paleognathae
อันดับ:Struthioniformes
วงศ์:†Dinornithidae
(Bonaparte, 1853)
สกุล
†Anomalopteryx นกโมอาเล็ก หรือนกโมอาพุ่มไม้
†Euryapteryx นกโมอาขาอ้วน หรือนกโมอาชายฝั่ง
†Megalapteryx นกโมอาที่ราบสูง
†Dinornis นกโมอายักษ์
†Emeus นกโมอาตะวันออก
†Pachyornis นกโมอาหงอน หรือนกโมอาตีนหนัก หรือนกโมอาเมพพิน
สูญพันธุ์ (IUCN 3.1)
นกโมอา (อังกฤษ: moa) ชื่อพ้อง Dinornithes
เป็นนกขนาดใหญ่ในวงศ์ Dinornithidae เคยอาศัยอยู่ในประเทศนิวซีแลนด์ซึ่งปัจจุบันได้สูญพันธ์ไปหมดแล้ว มีความเกี่ยวข้องกับนกอีมูจากออสเตรเลีย ในช่วงศตวรรษที่ 1800 ถึงต้นศตวรรษที่ 1900 มีหลายสายพันธุ์ของนกโมอาอยู่ในประเทศนิวซีแลนด์ ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์สรุปอย่างเป็นทางการได้ว่ามีอยู่ประมาณ 10 ชนิด
จากการศึกษาดีเอ็นเอ ของนกโมอา ได้มีการค้นพบว่านกโมอาตัวเมียกับตัวผู้มีความแตกต่างกันมาก ไม่ว่าจะเป็นทางขนาดลำตัวรึขนาดของกระดูก ตัวเมียมีขนาดที่ใหญ่กว่าและสูงกว่าตัวผู้อยู่ประมาณร้อยละ 150 และมีน้ำหนักกว่าร้อย 280 เหตุผลนี้ทำให้ตอนแรกมีการเข้าใจผิดคิดว่าโครงกระดูกที่ถูกค้นพบนี้เป็นของนก 2 ชนิด โครงกระดูกที่ถูกค้นพบได้ถูกนำมาประกอบกันแล้วจัดแสดงอยู่ตามพิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ ทั่วประเทศนิวซีแลนด์
นกโมอาเป็นนกที่มีขนาดใหญ่กว่านกปกติทั่วไป บินไม่ได้และมีรูปร่างคล้ายกับนกกระจอกเทศในปัจจุบันแต่ตัวใหญ่กว่า มีส่วนหัวที่ยาวกว่าเอาไว้กินพืชเตี้ย ๆ และตามต้นไม้สูง ๆ ขนาดและรูปร่างนกโมอานั้นเปลี่ยนไปตามสถานที่ต่างๆ เนื่องจากนกโมอาได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงทางด้านกายภาพมาโดยตลอดซึ่งขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อม
การเปล่งเสียงถึงแม้ว่าจะไม่มีการอัดเสียงของนกโมอาไว้ แต่จากการศึกษาดูกระดูกส่วนหัวและลำคอของนกโมอา ได้ทำให้พอจะรู้ว่าเสียงของนกโมอาเป็นยังไง กล่องเสียงของนกโมอานั้นมีวงแหวนอยู่หลายวง ซึ่งมีชื่อว่า Tracheal rings วงแหวนหนึ่งอันนั้น พอคลี่ออกมาแล้วจะมีความยาวถึงประมาณ 1 เมตร เพราะวงแหวนตัวนี้ทำให้เสียงของนกโมอานั้นมีความใกล้เคียงกับหงส์, นกกระเรียน และ ไก่ขนดำจุดขาวในวงศ์ Numididae และนกกระทานิวกินี เสียงนกโมอาสามารถไปได้ไกลมาก
อาหาร ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครเคยเห็นนกโมอาอย่างแท้จริง แต่โดยการวิเคราะห์จากซากฟอสซิลของนกโมอา ได้ทำให้รู้ว่ามันกินพืชส่วนใหญ่และกิ่งไม้เล็กๆจากต้นไม้ที่ไม่สูงมาก ตรงปากของนกโมอานั้นแข็งแรงมากและถูกใช้เป็นอาวุธป้องกันตัวจากสัตว์อื่นได้
การขยายและสืบพันธุ์[แก้]
จากการศึกษากระดูกของนกโมอา ทำให้รู้ได้ว่านกโมอามีการเจริญเติบโตที่ยาวนานมาก มันใช้เวลาประมาณ 10 ปีเพื่อที่จะพัฒนาจากเป็นเด็กสู่ตัวผู้ใหญ่เต็มตัว
ไข่ชิ้นส่วนของไข่ ของนกโมอาถูกค้นพบอยู่เป็นประจำในแหล่งต่างๆที่ฟอสซิลถูกค้นพบและตามบริเวณทรายรอบๆชายฝั่งนิวซีแลนด์ในปัจจุบันมีไข่ที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ จัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ รอบ ๆ นิวซีแลนด์เป็นจำนวน 36 ใบ แต่ละอันมีขนาดที่แตกต่างกันไปตั้งแต่ 120 – 124 มิลลิเมตร ไปจนถึง 91 – 178 มิลลิเมตร เปลือกนอกของไข่จะมีเอกลักษณ์อยู่ที่มีรูเล็ก ๆ ไข่ส่วนใหญ่จะมีสีขาว แต่ยกเว้นชนิด Megalapteryx didinus จะมีไข่เป็นสีน้ำเงินรึเขียว
รังไม่มีหลักฐานที่บ่งบอกว่าโมอาเป็นนกที่อาศัยอยู่กันเป็นฝูง ส่วนใหญ่จะถูกพบเป็นย่อม ๆ ตามถ้ำต่าง ๆ การสำรวจถ้ำต่าง ๆ ในเกาะเหนือ รังของนกโมอานั้นส่วนใหญ่จะถูกกดลงไปในดิน ส่วนที่แห้งและนิ่มในเขตพื้นที่ตอนกลางโอตาโก ของเกาะใต้ อากาศค่อนข้างแห้งจึงทำให้ใบไม้และวัสดุต่าง ๆ ที่นกโมอาใช้ในการทำรัง ยังคงอยู่ในสภาพใกล้เคียงเดิม เมล็ดของต้นไม้ต่าง ๆ ที่ถูกพบตามแหล่งเหล่านี้เป็นหลักฐานได้ว่าส่วนใหญ่นกโมอาจะทำรังในช่วงฤดูร้อน
การสูญพันธุ์
ภาพจำลองการล่านกโมอาของชาวมาวรี
ศัตรูหลักของนกโมอาคือนกอินทรีฮาสท์จนกระทั่งมนุษย์ได้เข้ามาบนเกาะนิวซีแลนด์ ชาวมาวรีได้เริ่มเข้ามาในช่วง ค.ศ. 1300 และได้เริ่มการล่านกโมอาจนเริ่มสูญพันธุ์ ประมาณ ค.ศ. 1400 นกโมอาได้สูญพันธุ์ไปหมดแล้วรวมไปถึงนกอินทรีฮาสท์ซึ่งสูญพันธุ์ไปด้วยเนื่องจากไม่มีนกโมอาให้กิน
การสูญพันธุ์ของนกโมอานั้นเกิดขึ้นภายในไม่ถึง 100 ปี ซึ่งผิดไปจากการสันนิษฐานของนักวิทยาศาสตร์ในช่วงแรกที่บอกว่านกโมอาใช้เวลาหลายร้อยปีในการค่อย ๆ สูญพันธุ์ อย่างไรก็ตาม ในช่วงทศวรรษ 1800 มีการอ้างว่าพบเห็นนกโมอาในหลาย ๆ แถบของประเทศนิวซีแลนด์ แต่ไม่มีหลักฐานอะไรที่ชัดเจนที่บ่งบอกว่านกโมอายังมีชีวิตอยู่จริง